Sunday, October 2, 2011

แล้วอนาคตของหนังสือล่ะ?


ผมต้องสารภาพว่าแม้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ตั้งแต่หนุ่มแน่นเป็นต้นมากับตัวหนังสือบนกระดาษ แต่วันนี้ผมเป็นแฟนของ e-books และยังไปเดินร้านหนังสือและซื้อหนังสือเป็นประจำ...

แต่ทุกวันนี้ผมอ่านจาก iPad และ iPhone มากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะสะดวก, อ่านง่าย, และเก็บข้อความน่าสนใจได้อย่างคล่องแคล่วอีกทั้งยังส่งเนื้อหาที่น่าสนใจไปยังคนที่เราอยากให้อ่านเหมือนเราได้มากขึ้น

ยิ่งเมื่อ Amazon.com เปิดตัว Kindle Fire ในราคาถูกว่า iPad กว่าครึ่งและย้ำให้ความสำคัญกับคนอ่านหนังสือมากขึ้นกว่าเดิม, ก็ทำให้ผมเริ่มคิดหนักว่าอนาคตของหนังสือจะไปทิศทางไหน?

ข่าวการปิดตัวของเครือข่ายร้านหนังสือดังอย่าง Borders และร้าน "คุณป้าหัวมุมถนน" ยิ่งทำให้เห็นภาพว่าหนังสือเป็นเล่มที่เป็นส่วนหนึ่งของงชีวิตประจำวันของเรานั้นกำลังจะค่อย ๆ หดหายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่แท้

ไม่ต้องสงสัยว่าคนจะหันมาอ่านหนังสือใน tablets มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากราคาของมันลดลงมาต่ำกว่า $99 ซึ่งผมเชือว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้

ผมยังทำใจไม่ได้หากบรรยากาศของการหยิบหนังสือมาอ่านทีละเล่ม, เดินเข้าร้านหนังสือที่เคยชินเพื่อถามหาหนังสือออกใหม่, และความรู้สึกที่ได้สัมผัสหนังสือด้วยมือของตนเอง...จะต้องสลายหายไปอย่างถาวร

แต่เมื่อยอดขาย e-books ที่เมืองนอกเริ่มแซงหน้ายอดขายหนังสือปกหนาหรือ hard cover และทำท่าว่าจะทะยานขึ้นตลอดเวลา ก็เริ่มมีการทำนายทายทักที่สหรัฐฯแล้วว่าภายในปี ค.ศ. 2025 หรือจากนี้ไปสิบปีเศษ ๆ หนังสือที่พิมพ์เป็นเล่มก็จะกลายเป็น "ของเก่าหายาก" เพราะผู้คนจะหันไปอ่านจาก tablets หรือมือถือเป็นส่วนใหญ่

เหมือนที่สารานุกรมอย่าง Britannica ที่คุณหาอ่านจากกระดาษวันนี้ไม่ได้แล้ว...และนั่นเป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดได้ไม่ถึง 10 ปีมานี้เอง

เขาทำนายว่าในสองสามปีข้างหน้ายอดขาย e-books จะนำหน้ายอดขายหนังสือทั้งหมด และ e-magazines ก็จะแซงหน้าแมกกาซีนที่พิมพ์ด้วยกระดาษทั้งหลายเช่นกัน เพราะเหล่าบรรดา applications ใน tablets จะมาทดแทนการอ่านนิตยสารเล่มหนา ๆ หนัก ๆ บนกระดาษอาร์ททั้งหลายกันถ้วนหน้า

คนเขียนหนังสือและคนทำ "สำนักพิมพ์" ทั้งหลายก็จะต้องปรับตัวกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากจะยังรักษาฐานคนอ่านรุ่นปัจจุบันและรุ่นใหม่ที่มีทางเลือกในการบริโภคข่าวสาร, สาระและเนื้อหาอย่างกว้างขวาง, รวดเร็วและฉับพลันเกินกว่าที่เราจะคาดการณ์ได้

แม้จะใจหาย, แต่เราก็ต้องหายใจต่อไปเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครยับยั้งได้อีกต่อไป

No comments: